กรมการท่องเที่ยวขานรับนโยบายรักษาสิ่งแวดล้อม เตรียมนำ“เรือพลังงานแสงอาทิตย์” พาเที่ยวคลองมหาสวัสดิ์
กรมการท่องเที่ยวขานรับนโยบายรักษาสิ่งแวดล้อม
เตรียมนำ“เรือพลังงานแสงอาทิตย์” พาเที่ยวคลองมหาสวัสดิ์
www.Thainewsvision.com
ข่าว -ภาพ พาฝัน ปิ่นทอง
กรมการท่องเที่ยว กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ขานรับนโยบายนายกรัฐมนตรี ที่เน้นการใช้พลังงานทดแทนและรักษาสิ่งแวดล้อม ชูท่องเที่ยวแนวอีโค เตรียมนำ “เรือพลังงานแสงอาทิตย์”มาใช้เพื่อการท่องเที่ยวนำร่องชมคลองมหาสวัสดิ์ สัมผัสวิถีชีวิตริมคลอง ท่องเที่ยวเชิงเกษตร นางสาววรรณสิริ โมรากุล รองปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬารักษาราชการแทนอธิบดีกรมการท่องเที่ยว เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้มีดำริให้ทุกหน่วยงานแสวงหาการใช้พลังงานทดแทน พร้อมทั้งมอบหมายให้กระทรวงฯ ทำการศึกษาการนำเรือขนาดเล็กมาใช้เพื่อการท่องเที่ยวซึ่งจะเป็นการช่วยประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อมรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นางกอบกาญจน์ สุริยสัตย์ วัฒนวรางกูร จึงได้สั่งการให้กรมการท่องเที่ยวทำการศึกษาและพัฒนาเรือที่ใช้พลังงานทดแทนเพื่อนำมาใช้ในกิจกรรมการท่องเที่ยว จนกระทั่งเกิดเป็นโครงการ “เรือพลังงานแสงอาทิตย์ต้นแบบเพื่อการท่องเที่ยว”
รองปลัดกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กล่าวว่า “หลังจากที่ได้รับมอบนโยบายกรมการท่องเที่ยวก็ได้ประสานงานกับนักวิชาการ และทำการพัฒนาเรือพลังงานแสงอาทิตย์ให้มีคุณสมบัติของเครื่องยนต์ที่เงียบและปลอดภัย เหมาะสมที่จะให้บริการนำเที่ยวทางเรือ นอกจากนั้นยังพิจารณาหาเส้นทางการท่องเที่ยวทางเรือโดยได้ประชุมหารือกับองค์การบริหารส่วนตำบลศาลายา ผู้นำชุมชนคลองมหาสวัสดิ์ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้อง เพื่อพัฒนาการท่องเที่ยวในพื้นที่ชุมชนคลองมหาสวัสดิ์ จนนำไปสู่ ‘โครงการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ชมทุ่งบัวแดง และสัมผัสวิถีชีวิตริมน้ำ ด้วยเรือพลังงานแสงอาทิตย์’ ที่กำลังจะเปิดให้บริการในเร็วๆนี้ การนำเรือพลังงานแสงอาทิตย์มาใช้ในกิจกรรมท่องเที่ยวล่องคลองมหาสวัสดิ์จะเป็นการเพิ่มเสน่ห์และความน่าสนใจให้กับแหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้เป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นโครงการที่ช่วยรักษาสิ่งแวดล้อมสอดคล้องกับเทรนด์การท่องเที่ยวในปัจจุบันที่ทั่วโลกต่างหันมาท่องเที่ยวแนวอีโคหรือท่องเที่ยวแบบอนุรักษ์ธรรมชาติกันมากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการประหยัดทรัพยากรและค่าใช้จ่ายอีกด้วย”
พื้นที่ชุมชนคลองมหาสวัสดิ์นับได้ว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีศักยภาพสูงเพราะตั้งอยู่ใกล้กรุงเทพมหานครและมีหลากหลายกิจกรรมที่น่าสนใจ รวมทั้งมีผลิตผลจากสวนจากไร่มากมาย นักท่องเที่ยวสามารถเที่ยวชมธรรมชาติที่สวยงาม ได้รับความรู้จากการท่องเที่ยวเชิงเกษตร ได้สัมผัสกับวิถีชีวิต วัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณีของชาวบ้านริมคลองมหาสวัสดิ์ นอกจากนี้ ชุมชนยังสามารถจัดเตรียมกิจกรรมเพิ่มเติมบนเส้นทางท่องเที่ยว และสามารถเชื่อมโยงกับแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ ในจังหวัดใกล้เคียง เช่น ราชบุรีและเพชรบุรีอีกด้วย ที่สำคัญชุมชนคลองมหาสวัสดิ์เป็นชุมชนที่เข้มแข็ง สามารถบริหารจัดการการท่องเที่ยวในชุมชนของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพจนได้รับรางวัลชุมชนดีเด่นทางด้านการท่องเที่ยว และรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไทย มาแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ.2550 สำหรับกิจกรรมการล่องเรือชมคลองมหาสวัสดิ์ ประกอบด้วยกิจกรรมชมสวน 4 จุดด้วยกัน ได้แก่นาบัว บึงบัวขนาดใหญ่ไกลสุดลูกหูลูกตา เป็นนาบัวที่ชาวบ้าน จำนวน 9 ครอบครัว ปลูกไว้ขาย โดยบัวส่วนใหญ่จะเป็น “บัวปทุมมา” ซึ่งมีสีชมพูสวยงามแต่ไม่มีฝักบัวให้รับประทานเหมือนบัวหลวง สวนกล้วยไม้ ซึ่งมีกล้วยไม้หลากหลายสายพันธุ์ โดยเฉพาะพันธุ์พิเศษที่ชื่อว่า “กล้วยไม้ทัศนีย์” เป็นกล้วยไม้สกุลหวายสีม่วง สีสด ดอกใหญ่ มีช่อยาว กลีบจะอวบและกลมกว่ากล้วยไม้พันธุ์อื่นๆและผลิตภัณฑ์แปรรูปกลุ่มแม่บ้านเกษตรกร มีการให้ความรู้เกี่ยวกับการแปรรูปผลผลิตทางการเกษตร เช่น ไข่เค็มเสริมไอโอดีน ข้าวตังจากข้าวซ้อมมือ ผลไม้อบแห้งด้วยพลังงานแสงอาทิตย์พร้อมชมสวนผลไม้-นาข้าว โดยนักท่องเที่ยวจะได้นั่งรถอีแต๊กชมนาข้าวและสวนผลไม้ ซึ่งมีลักษณะเป็นไร่นาสวนผสม สัมผัสวิถีชีวิตของเกษตรกรและแวะชิมผลไม้ตามฤดูกาล จากนั้นทางคณะกรมการท่องเที่ยวได้นำคณะสื่อมวลชนเข้าเยี่ยมชมวัดขนอนหนังใหญ่ ตั้งอยู่ที่อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรีเป็นวัดที่มีความโดดเด่นเรื่องการอนุรักษ์หนังใหญ่โดยเฉพาะ“ศิลปะการเชิดหนังใหญ่”ซึ่งเป็นการแสดงที่คล้ายกับโขนผสมกับการเชิดหนังตะลุง มีการใช้ฉากที่ส่องแสงสว่างมาจากด้านหลัง แต่ตัวหนังของหนังใหญ่รวมทั้งคนเชิดจะอยู่ด้านหน้าของฉาก การแสดงท่าทางต่างๆ ของหนังจะถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกของตัวละครในเรื่องออกมาด้วยท่าทางของผู้เชิด การเชิดหนังใหญ่นั้นเป็นการแสดงชั้นสูงที่รวมศิลปะอันทรงคุณค่าหลายแขนงไว้ด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น ด้านศิลปะการออกแบบลวดลายไทยเชิงจิตรกรรมที่มีความวิจิตรบรรจงผสมกับฝีมือช่างแกะสลักที่ประณีต ปรากฏเป็นตัวหนังใหญ่ที่อ่อนช้อยงดงาม ขณะที่การเชิดหนังใหญ่นั้นมีการนำศิลปะทางนาฏศิลป์การละครที่เคลื่อนไหวอย่างได้อารมณ์ตามเนื้อเรื่องประกอบกับบทพากย์บทเจรจาบทขับร้องดนตรีปี่พาทย์ทำให้เกิดความเข้าใจในเรื่องราวและให้อรรถรสทางศิลปะแก่ผู้ชมได้อย่างสมบูรณ์
วัดขนอนถือเป็นวัดเดียวในประเทศไทยที่มีการสืบทอดมหรสพการเชิดหนังใหญ่โดยทางวัดมีตัวหนังและคณะหนังใหญ่ที่สมบูรณ์อยู่ในความอุปถัมภ์ของวัดสืบทอดมาจนถึงทุกวันนี้ สำหรับหนังใหญ่วัดขนอนนั้นได้มีการสร้างขึ้นในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ร.5) ผู้ริเริ่มในการแกะสลักตัวหนังคือ ท่านพระครูศรัทธาสุนทร (หลวงปู่กล่อม)ซึ่งมีความคิดที่จะสร้างหนังใหญ่ให้มีขนาดใหญ่กว่าเดิมจึงได้ชักชวนครูอั๋ง ผู้เคยเป็นโขนคณะเจ้าเมืองราชบุรี ช่างจาดและช่างจ๊ะชาวราชบุรี และช่างพ่วงชาวบ้านโป่งมาช่วยกันสร้างตัวหนัง โดยชุดแรกที่สร้างคือ ชุดหนุมานถวายแหวน ต่อมาได้สร้างเพิ่มอีกรวม 9 ชุดกระทั่งปัจจุบันวัดขนอนมีตัวหนังทั้งหมดถึง313 ตัวนอกจากการแสดงศิลปะการเชิดหนังใหญ่แล้ววัดขนอนยังมี “พิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดขนอน”ซึ่งจัดแสดงนิทรรศการหนังใหญ่ ประวัติความเป็นมาของหนังใหญ่และกรรมวิธีการแกะสลักตัวหนังใหญ่ มีตัวหนังจำนวน 313 ตัวที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ โดยส่วนใหญ่เป็นตัวละครในเรื่องรามเกียรติ์ แบ่งเป็นชุดหนุมานถวายแหวน ชุดสหัสสกุมาร และเผากรุงลงกา ที่สำคัญยังมี ชุดศึกอินทรชิตครั้งที่ 1 ซึ่งเป็นโครงการตามพระราชดำริในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ที่ทรงเห็นคุณค่าในการแสดงศิลปะการเชิดหนังใหญ่จึงทรงมีพระราชดำริให้ทางวัดช่วยกันอนุรักษ์ตัวหนังใหญ่ ซึ่งท่านพระครูศรัทธาสุนทร (หลวงปู่กล่อม) อดีตเจ้าอาวาสวัดขนอนในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นผู้สร้างขึ้น สำหรับ “การแสดงการเชิดหนังใหญ่” ซึ่งเป็นการแสดงจากนักเรียนโรงเรียนวัดขนอนนั้น ทางวัดได้จัดแสดงทุกวันเสาร์ ตั้งแต่เวลา 10.00-11.00 น. เพียงรอบเดียวท่านั้น แต่หากเป็นวันธรรมดาหรือต้องการให้มีการจัดการแสดงรอบพิเศษ จะมีค่าใช้จ่ายรอบละ 2,000 บาทส่วน “พิพิธภัณฑ์หนังใหญ่วัดขนอน” นั้นเปิดให้เข้าชมทุกวัน ตั้งแต่เวลา 08.00-17.00 น.
โรงโอ่งรัตนโกสินทร์เป็นหนึ่งในโรงงานปั้นโอ่งเก่าแก่ของราชบุรี ตั้งอยู่ที่อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี ก่อตั้งขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ.2515 โดยคุณรัตนะ โฆษะบดี ปัจจุบันมีพื้นที่กว้างขวางถึง 22 ไร่และเปิดให้นักท่องเที่ยวที่สนใจเข้าชมทุกวัน ซึ่งนอกจากนักท่องเที่ยวจะได้ชมการปั้นโอ่งในโรงงานแล้ว ยังสามารถเลือกซื้อผลิตภัณฑ์เครื่องปั้นดินเผาต่างๆ จากโรงงานได้อีกด้วยโอ่งราชบุรีนั้นมีความโดดเด่นด้วยลวดลายมังกร ซึ่งปั้นเป็นลายนูนต่ำอันถือเป็นเอกลักษณ์ของช่างปั้นเมืองราชบุรี สำหรับการติดลายลงบนโอ่งนั้นจะมีลักษณะและวิธีการเฉพาะ ต่างการเขียนลายเซรามิคประเภทอื่น โดยวัสดุที่ใช้ติดลายนั้นจะเป็นดินเหนียวผสมกับดินขาวนวดจนเนื้อดินนิ่ม ซึ่งเนื้อดินจะต้องร่อนพิเศษให้มีเนื้อละเอียดมากที่สุด เรียกว่า “ดินติดดอก” ใช้สำหรับติดลายบนโอ่ง (ลายที่ติดนั้นจะช่วยขับให้เคลือบออกสีเหลือง ในขณะที่พื้นเดิมจะเป็นสีน้ำตาล) โดยเมื่อปั้นโอ่งและแต่งผิวเรียบร้อยแล้ว โอ่งจะถูกนำมาวางบนแท่นหมุนอีกครั้ง แท่นนี้จะหมุนด้วยมือ จากนั้นช่างติดลายจะใช้ดินติดดอกปั้นเป็นเส้นเล็กๆ ป้ายติดไปที่โอ่งสามตอนเพื่อเป็นการแบ่งโอ่งออกเป็น 3 ช่วง คือ ช่วงปากโอ่ง (บ่า) ตัวโอ่ง (ไหล่) และเชิงล่างของโอ่ง (ขา) โดยแต่ละช่วงจะติดลายไม่เหมือนกัน (สมัยก่อนติดลาย 2 ช่วงคือ ปากโอ่ง และตัวโอ่ง ส่วนช่วงขาบางครั้งติดเป็นลายกนก ลายเครือวัลย์ ลายไขว้ เป็นต้น)โอ่งมังกรราชบุรีนั้นนับเป็นศิลปะทำมือที่ต้องอาศัยความชำนาญและนับวันจะค่อยๆลดน้อยและสูญหายไปเรื่อยๆ เนื่องจากเป็นงานที่ต้องใช้ความอดทนสูงเพราะช่างปั้นจะต้องทำงานในโรงงานที่ร้อนอบอ้าว และอยู่ใกล้เตาอบที่มีความร้อนสูง ด้วยโรงงานต้องควบคุมไม่ให้มีลมพัดเข้ามาภายในได้เนื่องจากจะทำให้ดินแห้งเร็วเกินไป ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อกระบวนการผลิต อุทยานกล้วยไม้ “The Blooms Orchid Park”อาณาจักรกล้วยไม้ บนเนื้อที่กว่า 100 ไร่ ตั้งอยู่ที่ อ.บางแพ จ.ราชบุรีมีลักษณะเป็นสวนป่าขนาดใหญ่ มีบรรยากาศที่ร่มรื่น เป็นที่รวมของกล้วยไม้นานาพันธุ์ทั้งกล้วยไม้พันธุ์แท้ กล้วยไม้ลูกผสมสายพันธุ์ต่างๆ ที่ออกดอกสวยงามตลอดทั้งปี รวมถึงกล้วยไม้พันธุ์แปลกๆ โดยเฉพาะ“กล้วยไม้สกุลช้าง” กล้วยไม้ป่าที่ถูกนำมาเพาะเลี้ยงและพัฒนาสายพันธุ์อีกทั้งยังเป็นศูนย์ส่งออกกล้วยไม้ที่ใหญ่ที่สุดในราชบุรี ซึ่งนอกจากกล้วยไม้แล้วยังมีต้นไม้หายากขนาดใหญ่ เช่น พยุง พะยอม มะหาด กันเกรา งิ้ว สาละ ฯลฯ ให้นักท่องเที่ยวได้ชื่นชมอีกด้วยThe Blooms Orchid Park แบ่งพื้นที่ในการชมกล้วยไม้ออกเป็น 3 ส่วน คืออุทยานและสวนป่า นักท่องเที่ยวจะได้ชมความงามของดอกกล้วยไม้สายพันธุ์ต่างๆ อย่างใกล้ชิดท่ามกลางบรรยากาศสวนป่าขนาดใหญ่อันร่มรื่น สวนจัดแต่ง เป็นการผสมผสานการจัดแสดงกล้วยไม้สายพันธุ์ต่างๆ ในรูปแบบของมุมถ่ายรูปสวยๆ สำหรับนักท่องเที่ยว พร้อมชมแปลงกล้วยไม้ตัดดอกเพื่อการส่งออกขนาดใหญ่ ห้อง Labชมการสาธิตการขยายพันธุ์กล้วยไม้ ขั้นตอนการเพาะเลี้ยงเนื้อเยื่อและการเพาะเมล็ดกล้วยไม้ ซึ่งเหมาะสำหรับนักเรียน นักศึกษา และบุคคลทั่วไปที่สนใจ นอกจากการเที่ยวชมกล้วยไม้นานาพันธ์แล้ว The Blooms Orchid Park ยังมีกิจกรรมให้เพลิดเพลินมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการให้อาหารแกะ ขี่จักรยานชมธรรมชาติ ชมแปลงเกษตรผสมผสาน แปลงนาตัวอย่างซึ่งปลูกข้าวที่มีช่วงอายุต่างกัน เช่น ช่วงเริ่มหว่าน ช่วงต้นข้าวเขียวขจี และช่วงออกรวงเหลืองอร่าม แปลงพืชสมุนไพรและผักปลอดสารพิษ ลานกิจกรรมสำหรับเด็กให้เลือกเล่นอย่างปลอดภัย รวมถึงมุมถ่ายรูปสวยๆนอกจากนั้นนักท่องเที่ยวยังสามารถเลือกซื้อกล้วยไม้สวยๆ กลับบ้านได้อีกด้วย