สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)พร้อมด้วยกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขและเครือข่าย ร่วมแถลงการบริหารจัดการและให้วัคซีนโควิด-19 ของประเทศไทยอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างเชื่อมั่นและลดความกังวลแก่ประชาชน ระบุเมื่อเริ่มใช้วัคซีนในปลายเดือน ก.พ.นี้
สำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.)พร้อมด้วยกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุขและเครือข่าย ร่วมแถลงการบริหารจัดการและให้วัคซีนโควิด-19 ของประเทศไทยอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ เพื่อสร้างเชื่อมั่นและลดความกังวลแก่ประชาชน ระบุเมื่อเริ่มใช้วัคซีนในปลายเดือน ก.พ.นี้
วิณิชชา ปิ่นทอง
ศ.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และ นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต ปลัดกระทรวงสาธารณสุข แถลงนโยบายการสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม สู้ภัยโควิด-19 และความร่วมมือการสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรม และเรื่อง “การบริหารจัดการและให้วัคซีนโควิด-19 ของประเทศไทยอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ” ณ อาคารพระจอมเกล้า สำนักงานปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (โยธี )
“วัคซีนได้ผลดี และประเทศไทยมาถูกทางแล้วในเรื่องนโยบายรวมทั้งการบริหารจัดการเกี่ยวข้องกับวัคซีน เมื่อเริ่มใช้วัคซีนในปลายเดือน ก.พ. นี้ ประเทศไทยจะมีระบบในการติดตามและศึกษาวิจัยให้แน่ใจว่าประชาชนมีความปลอดภัยและได้รับประโยชน์จากวัคซีน ซึ่ง ทาง อว. โดย วช. จะสนับสนุนการวิจัย โดยมีนักวิชาการชั้นนำของประเทศจากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ และร่วมมือกับกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข ในเรื่องต่อไปนี้ ตามความปลอดภัยของวัคซีน, ประสิทธิภาพ มีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นหรือไม่และนานแค่ไหน, ประสิทธิผล ลดอัตราการเจ็บป่วยและอัตราการตายได้หรือไม่, การกลายพันธุ์และมีสายพันธุ์แปลก ๆ ที่ไม่ได้ผลหรือไม่ และบริหารจัดการวัคซีน เช่น วัคซีนพาสปอร์ต การกักกัน กักตัว การเดินทางระหว่างประเทศ” ศ.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล กล่าว
ด้าน นพ.เกียรติภูมิ วงศ์รจิต กล่าวว่า สธ. มีบทบาทสำคัญในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 มาตั้งแต่เริ่มระบาดในระยะแรกจนถึงปัจจุบันที่เกิดการระบาดระลอกใหม่ ซึ่งประเทศไทยสามารถควบคุมการระบาดของโควิด-19 ได้ดี แม้ระลอกใหม่จะควบคุมได้ล่าช้า แต่ก็สามารถควบคุมได้ในระยะเวลาอันสั้น และสิ่งที่จะดำเนินการต่อไปคือเรื่องการใช้วัคซีนโควิด-19 ซึ่งในช่วงแรกต้องใช้เวลาในการพัฒนาเพื่อให้ได้คุณภาพและความปลอดภัย โดยเป้าหมายของกระทรวงสาธารณสุขคือต้องการใช้วัคซีนเพื่อป้องกัน ทำให้เกิดภูมิคุ้มกันในระดับประเทศ โดยไทยได้เตรียมการเพื่อให้ได้รับวัคซีนอย่างครอบคลุมโดยเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยมีการจองวัคซีนโควิด-19 แล้วถึง 63 ล้านโดส กระทรวงสาธารณสุขจึงต้องทำงานอย่างหนักเพื่อฉีดให้ครบทั้ง 63 ล้านโดสภายในปีนี้ เพราะหากไม่เกิดภูมิคุ้มกันระดับประเทศ เราก็เปิดประเทศไม่ได้ และเมื่อมีภูมิคุ้มกันระดับประเทศก็สามารถทำให้เศรษฐกิจดำเนินต่อไปได้
ทั้งนี้ สธ. มอบให้กรมควบคุมโรควางแผนการฉีดวัคซีนตั้งแต่ปี 2563 และมีเป้าหมายสำคัญ คือ
1. ลดอัตราการป่วยและเสียชีวิต ซึ่งวัคซีนของแอสตราเซเนกาและซิโนแวค ได้ผ่านการพิสูจน์เรียบร้อยแล้ว
2. เพื่อปกป้องระบบสุขภาพของประเทศ ซึ่งบุคลากรทางการแพทย์ จัดว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงจากการทำงาน จึงต้องฉีดเพื่อป้องกันไม่ให้เจ็บป่วย 3. เพื่อให้คนไทยกลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ เกิดการขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจ ฟื้นฟูการท่องเที่ยวของประเทศไทย
และที่สำคัญต้องฉีดให้ครอบคลุมคนไทยมากที่สุด เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประเทศและจะไม่เกิดการระบาดของโรคต่อไป โดยกำหนดกลุ่มเป้าหมาย 3 ระยะ คือ ระยะแรก ที่มีวัคซีนปริมาณจำกัด เมื่อผ่านกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์และ อย. จะฉีดให้คนไทยกลุ่มเสี่ยงทันที โดยในระยะนี้จะฉีดในช่วงกุมภาพันธ์ – พฤษภาคม 2564 ระยะที่ 2 เมื่อมีวัคซีนมากขึ้น และระยะที่ 3 เมื่อมีวัคซีนอย่างกว้างขวาง เริ่มตั้งแต่ มิถุนายนเป็นต้นไป และจะเร่งรัดการฉีดวัคซีนให้ได้เร็วที่สุด
ในส่วน ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง กล่าวว่าในปลายเดือนกุมภาพันธ์นี้วัคซีนโควิด-19 ลอตแรกจากประเทศจีน ได้แก่ ซิโนแวคจำนวน 2 แสนโดสจะมาถึงประเทศไทย วช. ในฐานะศูนย์ปฏิบัติการด้านนวัตกรรมการแพทย์และการวิจัยและพัฒนา ภายใต้ อว. และ สธ. เห็นร่วมกันว่าควรมีการสนับสนุนและเร่งศึกษาวิจัยเกี่ยวกับประสิทธิผลและอาการข้างเคียงของวัคซีนที่กำลังจะเข้ามาในประเทศไทย ซึ่งขณะนี้ยังต้องการข้อมูลจำนวนมากเพื่อให้เพียงพอกับการติดตามประเมินประสิทธิผล ดังนั้นเพื่อสร้างความมั่นใจให้กับประชาชนในประเทศ การศึกษาวิจัยในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับการใช้วัคซีนจึงมีความจำเป็นที่ต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนควบคู่กับการดำเนินการบริหารการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนไทย โดยให้ความสำคัญกับระยะเวลาที่มีการให้วัคซีน รวมถึงการติดตามผลลัพธ์และผลกระทบไปข้างหน้า
ทั้งนี้ วช. ภายใต้ อว. โดยคณะกรรมการดำเนินงานสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรมประเด็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) ได้พิจารณาความสำคัญและให้การสนับสนุนการวิจัยและนวัตกรรมใน ประเด็นการศึกษาวิจัยที่สำคัญให้แก่ กระทรวงสาธารณสุขโดยกรมการแพทย์เป็นผู้บริหารแผนงานวิจัยดังกล่าวใน 6 ประเด็นหลัก ได้แก่
1. ด้านนโยบาย และระบบสุขภาพ
2. ด้านประสิทธิผล และภูมิคุ้มกัน
3. ด้านการบริหารแผนงาน
4. ด้านการประกัน ควบคุมคุณภาพ และความปลอดภัย
5. ด้านการสื่อสาร และ
6. ด้าน new variants
ภายใต้แผนงานวิจัยเรื่อง “การบริหารจัดการโครงการวิจัยวัคซีนและประเมินประสิทธิผลเพื่อจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบาย” โดยมี นายแพทย์สมศักดิ์ อรรฆศิลป์ อธิบดีกรมการแพทย์เป็นผู้บริหารจัดการโครงการวิจัย ในรูปแบบ Director โดยจะทำหน้าที่สำคัญในการกำกับทิศทางและเป้าหมายของโครงการให้เป็นไปตามที่กำหนดไว้ และนำผลงานวิจัยที่ได้มาใช้ในการตัดสินใจเชิงนโยบายและบริหารจัดการให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด เพื่อให้ประชาชนได้รับวัคซีนที่มีประสิทธิผล ลดความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือเสียชีวิตจากโควิด-19
ดร.วิภารัตน์ ดีอ่อง แจกแจงเพิ่มเติมว่าแผนงานวิจัยดังกล่าวมีนักวิจัยที่เชี่ยวชาญเป็นหัวหน้าโครงการวิจัยภายใต้แผนงานจากหลากหลายสถาบันที่มีความเชี่ยวชาญ ได้แก่
1. จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ศ.นพ.ยง ภู่วรวรรณ ในประเด็นความปลอดภัย และผลกระตุ้นภูมิต้านทานของวัคซีนโควิด-19 ในประชากรผู้ใหญ่ พร้อมทั้งการจำแนกสายพันธุ์ย่อยของไวรัสและการตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อ
2. กรมการแพทย์ รอ.นพ.สมชาย ธนะสิทธิชัย ในประเด็นการประเมินอัตราการแพร่เชื้อไวรัสในวันที่ 7 และ 10 ในผู้ป่วยที่ไม่มีอาการ และมีอาการไม่รุนแรง
3. กรมการแพทย์ นพ.เมธา อภิวัฒนากุล ในประเด็นอุบัติการณ์ของภาวะแทรกซ้อนทางระบบประสาทจากการฉีดวัคซีนโควิด-19
4. คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล รศ.พญ.ณสิกาญจน์ อังคเศกวินัย ในประเด็น การตอบสนองทางภูมิคุ้มกันและความปลอดภัยหลังได้รับวัคซีนโควิด-19 ในบุคลากรทางการแพทย์
5. คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี ผศ.นพ.จักรพงษ์ บรูมินเหนทร์ ในประเด็นการตอบสนองทางภูมิคุ้มกันที่จำเพาะต่อไวรัสหลังการฉีดวัคซีนโควิด-19 ในผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังและผู้ป่วยปลูกถ่ายไต
6. โครงการประเมินเทคโนโลยีและนโยบายด้านสุขภาพ (HITAP) ภญ.เบญจรินทร์ สันตติวงศ์ไชย ในประเด็นการจัดตั้งเครือข่ายวิจัยเพื่อสนับสนุนนโยบายโควิดวัคซีนพาสปอร์ตในอาเซียน