ทนายชื่อดังพร้อมด้วยเจ้าของอาคารย่านสวนมะลิ ได้เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อผู้อำนวยการเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย พร้อมทั้งเสนอให้รื้อตึกที่ก่อสร้างผิดแบบทั้ง 33 คูหาด้วย
ทนายชื่อดังพร้อมด้วยเจ้าของอาคารย่านสวนมะลิ ได้เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อผู้อำนวยการเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย พร้อมทั้งเสนอให้รื้อตึกที่ก่อสร้างผิดแบบทั้ง 33 คูหาด้วย
www.Thainewsvision.com
จากกรณีที่เจ้าของอาคาร ออกมาร้องขอความเป็นธรรม เนื่องจากเจ้าหน้าที่เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย ถือคำสั่งศาลชั้นต้นเข้ารื้อถอนอาคารส่วนที่ต่อเติมอย่างไม่เป็นธรรม ล่าสุด ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช นำเจ้าของตึกย่านสวนมะลิ ยื่นหนังสือร้องขอความเป็นธรรมต่อผู้อำนวยการเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย พร้อมทั้งเสนอให้รื้อตึกที่ก่อสร้างผิดแบบทั้ง 33 คูหา ด้วย
วันที่ 19 ม.ค.64 เวลา 12.00 น. ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช พร้อมนายสมชาย และนางเพ็ชรรัตน์ อุตมะวณิชย์ เจ้าของอาคารย่านสวนมะลิ ได้เดินทางมายื่นหนังสือร้องเรียนขอความเป็นธรรมต่อ นายยุทธนา ป่าไม้ ผู้อำนวยการเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย พร้อมทั้งขอให้รื้อถอนอาคารที่มีการต่อเติมผิดแบบ ทั้ง 33 คูหา ภายในถนนยุคล1 แขวงเทพศิรินทร์ เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ หลังจากทางสำนักงานเขตฯ ได้ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามารื้อถอนอาคารส่วนที่ต่อเติมในชั้น5 และชั้น6 เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2563 แต่ในครั้งนั้นทางคุณสมชาย และคุณเพ็ชรรัตน์ ได้แจ้งกับทางเจ้าหน้าที่ว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างรอคำพิจารณาจากศาลปกครอง จึงทำให้เจ้าหน้าที่ได้เลื่อนการรื้อถอนในวันดังกล่าวยืดระยะเวาออกไป ก่อนที่ทนายอนันต์ชัย จะพาทั้งคู่มายื่นหนังสือในวันนี้ โดยทนายอนันต์ชัย กล่าวว่า ทางคุณสมชาย และคุณเพ็ชรรัตน์ ได้ร้องขอความช่วยเหลือจากตนเองให้เข้ามาช่วยในเรื่องคดี หลังจากอาคารแห่งนี้มีข้อพิพาทกันระหว่างเจ้าของเก่า และเพื่อนบ้าน ในปี2542 โดยอาคารแห่งนี้ทั้งคู่ได้ซื้อจากเจ้าของเดิม ซึ่งในขณะนี้ได้เสียชีวิตไปแล้ว โดยทั้งคู่ไม่ทราบเรื่องมาก่อนว่าอาคารที่ซื้อมานั้นมีคดีพิพาทกับคู่กรณีที่อยู่ข้างกัน โดยอาคารหลังดังกล่าวได้สร้างขึ้นเมื่อปี 2507 มีความสูง 6 ชั้น จำนวน 33 คูหา แต่ในแบบพิมพ์เขียวที่ยื่นให้ทางเขตตรวจนั้น มีแค่ 4 ชั้นเท่านั้น แต่เจ้าของเดิมที่สร้างอาคารนี้ ได้ต่อเติมผิดแบบตั้งแต่ปีดังกล่าว ก่อนที่คุณลุงสมชาย และคุณป้าเพ็ชรรัตน์ จะซื้อมาต่อในปี2548 จำนวน 4 คูหา ในอาคารเลขที่ 32 ,34 ,36 และ38 โดยทั้งคู่ไม่ได้ต่อเติมอาคารจากของเดิมเลย และเมื่อตรวจสอบจากภาพถ่ายทางอากาศก็แสดงให้เห็นว่าอาคารแห่งนี้ มีความสูงเท่ากันตลอดแนวทั้งหมด ซึ่งทำผิดตามพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2479 ตามมาตรา 6 และมาตรา7(2) โดยเจ้าของเดิมไม่ได้ขออนุญาตดัดแปลง หรือต่อเติมอาคารจากเจ้าพนักงานท้องถิ่นแต่อย่างใด
ต่อมาในคดีนี้ทางศาลฎีกา ได้มีคำสั่งแจ้งให้เจ้าของอาคารเดิม และคู่กรณีแก้ไขตามมาตรา39 ทวิ แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ.2522 หากไม่ทำตามคำสั่ง ผู้อำนวยการเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย จึงจะมีคำสั่งรื้อถอนอาคารที่มีการดัดแปลงในส่วนนี้ได้ แต่คำสั่งรื้อถอนของผู้อำนวยการเขตฯ คนเก่าที่ผ่านมา กลับมีคำสั่งข้ามขั้นตอนให้รื้อถอนอาคารส่วนที่ดัดแปลงออก จึงถือว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ก่อนที่จะสืบเนื่องมาจนถึงการยื่นหนังสือในวันนี้
ด้านนายยุทธนา ป่าไม้ ผู้อำนวยการเขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กล่าวว่า ตนเองขอชี้แจงว่า จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนเองต้องปฏิบัติตามคำสั่งศาล ส่วนในเรื่องที่จะต้องรื้อถอนอาคารของนายสมชาย และนางเพ็ชรรัตน์ นั้น ตนเองไม่อยากทำ และที่ผ่านมาก็ได้มีการพูดคุยมาโดยตลอด แต่เนื่องจากศาลมีคำสั่งมาแล้ว หากตนเองไม่ปฏิบัติตามก็จะผิดกฎหมายไปด้วย อย่างไรก็ตาม ตนเองพร้อมให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย และไม่เลือกปฏิบัติกับใครทั้งนั้น หากตรวจพบการกระทำความผิด ก็จะดำเนินการกับผู้ที่กระทำความผิดด้วยเช่นกัน ขณะที่ คุณสมชาย และคุณเพ็ชรรัตน์ ได้ยกมือไหว้ขอโทษผู้อำนวยการเขตฯ ที่ได้ล่วงเกินในสิ่งที่ผ่านมา และหลังจากนี้จะมอบอำนาจให้ทนายอนันต์ชัย ไชยเดช เป็นทนายความในการต่อสู้ทางคดี โดยจะทำหนังสือไปยื่นต่อศาลปกครองสูงสุด ภายในสัปดาห์นี้ต่อไป