“กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เปิดงานสตาร์ทอัพแฟร์ชูแนวคิด “ปลดล็อคข้อจำกัดพัฒนาสตาร์ทอัพสู่ตลาดภาครัฐ”
“กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เปิดงานสตาร์ทอัพแฟร์ชูแนวคิด “ปลดล็อคข้อจำกัดพัฒนาสตาร์ทอัพสู่ตลาดภาครัฐ”
ดร. สุวิทย์ เมษินทรีย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) เปิดงานสตาร์ทอัพแฟร์ “Government Procurement Transformation”กับแนวคิด “ปลดล็อคข้อจำกัดพัฒนาสตาร์ทอัพสู่ตลาดภาครัฐ” เบิกทางสตาร์ทอัพสู่เส้นทางจัดซื้อจัดจ้างภาครัฐ สร้างมิติใหม่ที่จะเพิ่มประสิทธิภาพทางนวัตกรรมของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีภาครัฐ (Government Technology)ช่วยให้ภาครัฐบริการสาธารณะได้ดีขึ้น ทําให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการต่างๆ ของภาครัฐได้สะดวก โดยจัดแสดงนวัตกรรมจากสตาร์ทอัพที่ประสบความ สำเร็จทางธุรกิจและพร้อมให้บริการแก่ภาครัฐและเอกชน กว่า 80 ราย ใน 7 โซลูชั่น ตั้งเป้าให้เกิดการซื้อขายระหว่างภาครัฐกับสตาร์ทอัพภายในงาน 1,000 ล้านบาท และเผยเป้าหมายตลาดภาครัฐสำหรับสตาร์ทอัพทางด้านอุตสาหกรรมเทคโนโลยีภาครัฐ สามารถเติบโตได้ถึง 30,000 ล้านบาท (หรือ 1% ของงบประมาณภาครัฐ)
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ เป็นประธานในพิธีเปิดงาน Government Procurement Transformation “ปลดล็อคข้อจำกัดพัฒนาสตาร์ทอัพสู่ตลาดภาครัฐ” ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 28-29 กันยายน ที่ฮอลล์ 5-6 อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยกล่าวว่า สิ่งที่วันนี้รัฐบาลให้ความสำคัญคือ การสร้างความพร้อมให้ทุกภาคส่วนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นและเอื้อต่อภาคธุรกิจในยุคดิจิทัลการปรับปรุงกฎหมายให้ทันสมัยและการขยายความร่วมมือกับภาคเอกชนในการพัฒนาประเทศในมิติต่างๆ เพื่อการก้าวไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 โดยมีเป้าหมายในการสร้างเศรษฐกิจเติบโตอย่างก้าวกระโดด และที่สำคัญยกระดับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศด้วย INNOVATION NATION โดย “นวัตกรรม” เป็นตัวแปรที่ช่วยขยายขีดความสามารถและความคิดสร้างสรรค์จนเกิดอาชีพใหม่ๆ ขึ้นมา ซึ่งในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา บริษัทเล็กๆ ทั่วโลกได้แซงขึ้นมาอยู่แถวหน้าของวงการธุรกิจในเวลาสั้นๆ บริษัทเล็กๆ เหล่านี้พัฒนาธุรกิจอย่างก้าวกระโดด ธุรกิจเหล่านี้ ก็คือ “สตาร์ทอัพ”
โดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ หรือ NIAเวทีการสัมมนา ให้ความรู้เกี่ยวกับการพัฒนา GovTechและกรณีประสบความสำเร็จและการให้บริการในโซลูชั่นต่างๆ โดยสตาร์ทอัพที่มีผลงานกับภาครัฐ และเวทีการแข่งขัน GovTech Awardsชิงความเป็นหนึ่งที่จะเป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปพร้อมกับรัฐบาลโดยสตาร์ทอัพมืออาชีพ ใน 3 โจทย์หลักได้แก่ 1. Digital Government การบริหารและบริการของภาครัฐ เพื่อบริการประชาชนได้อย่างตรงความต้องการและเข้าถึงได้สะดวกขึ้น ในกลุ่ม G2G : ภาครัฐสู่ภาครัฐ G2B : ภาครัฐสู่ภาคธุรกิจ G2E : ภาครัฐสู่ภาคข้าราชการและพนักงานของรัฐ และ G2C : ภาครัฐสู่ประชาชน 2. Ease of Doing Business การอำนวยความสะดวกทางธุรกิจ เพื่อให้การดำเนินธุรกิจของภาคเอกชนมีความคล่องตัวและเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน และ3.Public Services การบริการสาธารณูปโภคพื้นฐาน ด้านการแพทย์ ด้านอาหาร ด้านการท่องเที่ยว ซึ่งจะประกาศผลการแข่งขันในวันสุดท้ายของการจัดงาน
นอกจากนี้ ดร. สุวิทย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กล่าวทิ้งท้ายถึง การดำเนินงานต่อไปในปี พ.ศ. 2562 ถึงเป้าหมายของการพัฒนาสตาร์ทอัพ คือ Thailand: STARTUP NATION ที่จะขับเคลื่อนประเทศไทยให้เป็น STARTUP Global Hub โดยรัฐและประชารัฐจะต้องร่วมกัน ขับเคลื่อนพัฒนานวัตกรรม และผลักดันให้นวัตกรรมไทยขยายการลงทุนสู่ตลาดต่างประเทศส่งเสริมให้สตาร์ทอัพไทยก้าวข้ามตลาดของไทย 70 ล้านคนไปสู่ตลาดที่ใหญ่กว่าทั้งในระดับภูมิภาคเอเชียและตลาดโลกให้ได้ พร้อมกำหนด Position ของประเทศไทยเป็นแพลทฟอร์มสำหรับสตาร์ทอัพจากทั่วโลกเพื่อเข้าสู่ตลาดเอเชีย (Thailand is Startup’s Global Platform of Asia) และมีเป้าหมายภายในปี พ.ศ. 2564 (ค.ศ. 2021) เพิ่มจำนวนวิสาหกิจเริ่มต้นที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมเป็น 1,000 ราย เพิ่มการจ้างงานผู้มีทักษะสูง 50,000 ตำแหน่ง สร้างผลกระทบเชิงเศรษฐกิจ 5% ของ GDP ประเทศไทย